เวิ่นเว้อ….ว่าด้วยเรื่องความรักในอุดมคติกับรักในชีวิตจริง
ความรักเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่อดีตกาล ทุกชาติทุกภาษา แต่แทบไม่มีใครสามารถหาเหตุผลได้เลยว่าทำไมถึงมีความรักอยู่คู่มนุษย์ตลอดมา มันเป็นเป็นเรื่องดีอยู่เหมือนกันที่บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องไปเข้าใจในสิ่งที่เรารู้สึกทุกเรื่อง แต่อีกแง่หนึ่งความเข้าใจในความรักแม้จะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งน้อยนิดก็ตามทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งที่เรารู้สึก ทำให้เรามีสติการมีตัวตนอยู่ในเวลาปัจจุบัน ความเข้าใจที่ว่านี้สามารถทำให้เราปฏิบัติตัวหรือตอบสนองอะไรๆได้ดีกว่า และที่สำคัญที่สุดคือการระลึกรู้ว่าเรามีอะไรและได้รู้สึกยังไง และสามารถขอบคุณสิ่งที่เรามีในปัจจุบันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
เราแทบทุกคนคงได้ดูละคร ดูหนังรักแมนติก หรือได้อ่านนวนิยายเกี่ยวกับความรักหวานซึ้งมากันมากมายแล้ว บางคนดูมากเกินจนรู้สึกว่ามันเอียนแล้วและไม่เห็นว่าชีวิตในความเป็นจริงเรื่องราวมันจะสวยงามอะไรอย่างนั้น บางคนดูแล้วสามารถเป็นโลกที่พาให้เราหนีความเบื่อหน่ายและความจำเจในโลกความเป็นจริงๆได้ สำหรับบางคนเรื่องราวของหนังละครและนวนิยายจึงเป็นทางออกที่ทำให้เราคลายเคลียดจากชีวิตจริงได้เป็นอย่างดี และสำหรับอีกหลายๆคนมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราต่อต้านความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองได้เป็นอย่างดีเช่นกัน

ขอกล่าวเรื่องความรักในมุมมองจากนวนิยาย หนัง หรือละครหลังข่าว ถ้ามองกันจริงๆมันสร้างความบันเทิงได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่มันไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงในโลกนี้ซักเท่าไรนัก เราดูกันตั้งแต่ต้นจนจบเราแทบไม่รู้ว่าพระเอกหรือนางเอกทำอะไรเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องปากเรื่องท้องหรือคุณภาพชีวิตในแต่ละวันเท่าไหร่นัก แต่ปัญหาที่ใหญ่หลวงหนักหน่าสาหัสที่สุดที่เขาและเธอเผชิญคือตัวอิจฉา ตัวอิจฉาที่ว่านี้หลักๆถ้าไม่ใช่คนรักเก่าของพระเอกหรือนางเอก ก็เป็นแม่ยาย (สำหรับบางคน แม่ยายก็อาจจะเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงจริงหนักหนาสาหัสจริงๆ)
ภาระกิจหลักที่เราได้เห็นคือการแก้ปัญหา แก้สถานการณ์ แก้ผลของการตามรังควานในแบบที่ที่มันไม่ค่อยจะเป็นจริงได้ง่ายๆ ของตัวอิจฉาที่กล่าวมาเราไม่ค่อยได้เห็นพระเอกนางเอกใช้ความรักเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาเข้าใจผิดการให้อภัย หรือความไม่เข้าใจในแต่ละวัน
พลังงานแทบจะทั้งหมดที่ใช้ไปก็เพื่อรับมือกับตัวอิจฉา ซึ่งความรุนแรงมันมากขึ้นๆตามลำดับ เริ่มจากเฉิดใส่ดูถูก มาเป็นใส่ร้ายป้ายสี เพิ่มดีกรีขึ้นมาเป็นตบตี เพิ่มเป็นลอบทำร้าย เพิ่มเป็นจ้างคนมาทำร้ายหรือหนักสุดคือพยายามฆ่าให้ตาย ส่วนฝ่ายพระเอกนางเอกถ้าไม่โง่สุดๆก็ประเสร็จสุดๆจนน่ารำคาญ
ในด้านของพระเอกนางเอกเองบางครั้งดูๆไปเราชักสงสัยว่าพระเอกนางเอกรักกันจริงหรือเปล่าถ้ารักกันจริงๆอะไรๆมันคงจบไปตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ถ้ารักกันจริงตามที่เราเข้าใจและถูกสั่งสอนกันมา สิ่งที่ควรทำคือการให้ความเข้าใจ พูดคุย การให้อภัย หรือการพัฒนาหรือแก้ไขสิ่งที่ทำสิ่งที่เผชิญให้มันดีขึ้น แต่สิ่งที่เราเห็นคือเมื่อไหร่ก็ตามเกิดความขัดใจกันขึ้นสิ่งที่ทำคือการประชด และทำในสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายโกรธหรืออิจฉา ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตัวเอง และมีเรื่องราวเข้าใจผิด อะไรตามมาอีกมากมาย มันเลยกลายเป็นเรื่องราวไปเยอะแยะ ดูไปๆก็อดที่จะตั้งคำคามว่าความรักมันวุ่นวายขนาดนี้เลยเหรอ
นี่แหละหัวใจของมันละคร คำว่าเรื่องราว นั่นเอง ละครไทยเป็นรายการที่มีคนติดตามมากที่สุดก็จริงแต่หลายๆปีมานี้กระแสที่ไล่ตามมาคือความฮิตของละครเกาหลี สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ละครเกาหลีเป็นที่ติดกันงอมแงมในบ้านเราคือ เรื่องราวที่สร้างขึ้นมาแล้วมันเป็นเหตุเป็นผลได้ดีกว่า
นอกจากจะมีเรื่องราวความรักแล้ว

ดังนั้นสิ่งที่เราต้องการจริงๆจ
เราไม่สามารถบันดาลให้คนที่เราช
วันนี้จะขอกล่าวถึงความรักในมุม
ความสุข ความซาบซึ้ง และอารมณ์ต่างนั้นเรารู้ได้ในปั
ว่ากันว่าคนที่โชคดีที่สุดในเรื่องความรักคือคนที่เข้าใจถึงความสำคัญของเวลา และสิ่งที่เรามีอยู่ในตอนนี่ เขาเป็นคนที่มีความสุขและซาบซึ่งกับความรักได้มากที่สุด และเขาก็จะทำสิ่งต่างๆได้ดีที่สุด เขาจะปราศจากความกังวลของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เขาจะทำวันนี้ให้ดีทีสุด เพราะเขารู้ว่าอนาคตมาจากผลของการกระทำในวันนี้ หากวันนี้เราไม่ทำอะไรเลยอนาคตก็ไม่ไม่มีอะไรเลย
หากเราทำไม่ดีในวันนี่อนาคตมันก็จะเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ดี และหากวันนี้เราทำสิ่งดีเป็นไปได้สูงมากๆที่อนาคติจะต้องมีแต่สิ่งที่ดี คนที่ระลึกรู้ถึงความสำคัญของความรักในวันนี้ส่วนใหญ่จะสามารถนำพาความรักฝ่าอุปสรรค และปัญหาต่างๆ ไปสู่วันที่ดีกว่าได้ได้
ผมขอยกคำกล่าวของ นโปเลียน ฮิลล์ มารวบรวมเล่าให้ฟัง เขากล่าวว่าความรักนั้นมีพลังมากกว่าแค่ให้กำลังใจต่อสู้ ความรักคืออารมณ์ความรู้สึกหนึ่งใน 7 อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์รอดตาย รักษาเผ่าพันธุ์มาได้จนถึงปัจจุบัน อารมณ์ความรู้สึกทั้ง 7 ที่ว่าคือ ความรัก ความหวัง ศรัทธา ปณิธาน ความโรแมนติก กามารมณ์ และกระตือลือล้น เขากล่าวว่า ความรัก ความโรแมนติก และกามารมณ์ เป็นแรงผลักดันให้เราก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จสูงสุดเท่าที่เราจะทำได้
อารมณ์ทั้งสามนี้จะช่วยยกอัจยภาพของคนให้สูงขึ้น ใครก็ตามที่ตกอยู่ในห้วงความรักแท้จะตระหนักรู้ว่ามันเป็นหนทางยาวไกล ความรักนั้นจะมีอทธิพลต่อเรายาวนาน เพราะความรักเป็นจิตวิญาณแห่งธรรมชาติของมนุษย์ ผู้ที่ไม่ยอมใช้ความรักเพื่อกระตู้นตัวเองให้ก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จ แต่กลับใช้ความรักความรักนำพาตัวเองไปสู่ความล้มเหลวในชีวิตด้านอื่น ผู้นั้นค่อนข้างสิ้นหวัง เขามีความรักแต่กลับปล่อยให้ความรักทำร้ายและให้ทุกข์ เขาเหมือนคนที่ตายไปแล้วที่ยังมีชีวิตอยู่
ถ้าหากคิดว่าตัวเองโชคไม่ดีเพราะเคยมีรักแล้วกลับสูญเสียมันไป เราอาจเข้าใจผิดก็ได้ เนื่องจากคนที่มีความรักในหัวใจ จะไม่สูญเสียความรักไปตลอด ส่วนมากเราไปสับสนกับคำว่าครอบครอง ความรักนั้นเป็นสิ่งที่รู้สึกภายในใจรู้สึกเป็นอิสระไม่ได้เป็นการผูกมัดจำกัดอิสรภาพแกใคร ความรักนั้นไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงง่าย มันพอใจจะมามันก็มา และอาจไปจากเราง่ายๆ โดยไม่บอกล่วงหน้า เมื่อใดมีความรักจงเปิดใจรับและมีความสุขไปกับมัน แต่เมื่อมันจากไป ก็อย่าอาลัยอาวรณ์ เศร้าเสียใจไปก็ไม่ได้ช่วยให้ความรักกลับคืนมา
เขาบอกอีกว่าจงขับไล่ความคิดที่
ความทรงจำเกี่ยวกับความรักสามาร
ความรักเป็นอารมณ์ที่มีลักษณะหล
ในทำนองเดียวกับการผสมกามารมณ์เ
ความรักเป็นอารมณ์ที่ให้ความรู้
เมื่ออารมณ์แห่งเสน่หาเสริมกับความรักและกามารมณ์ และความรักนำหน้าอารมณ์มันจะนำทางให้เราไปสู่พลังแห่งการสร้งสรรค์ จะเห็นได้ว่าคนที่มีความรักจะมีพลังกายพลังใจมากกว่าคนในอารมณ์ปรกติ มีความอดทน ขยัน และไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรค ถ้าหากสามารถรักษาอารมณ์รักแบบนั้นไว้นานๆ ทั้งสามอารมณ์ คืออารมณ์แห่งเสน่หาเสริมกับความรักและกามารมณ์ อุปสรรคที่ขวางกั้นภายในจิตใจก็จะหมดไป ทำให้อุปสรรคทางกายภาพที่เขามองนั้นหมดไปด้วย