ผู้คิดและผู้พิสุจน์ – เราเชื่ออย่างไรความจริงก็จะเป็นอย่างนั้น

ผู้คิดและผู้พิสุจน์ – เราเชื่ออย่างไรความจริงก็จะเป็นอย่างนั้น

บทความต่อไปนี้สรุปจากบทแรกของหนังสือ Prometheus Rising ของ Robert Anton Wilson ว่าด้วยเรื่องที่ว่าเมื่อเราเชื่ออย่างไรตัวเราก็จะพยายามพิสุจน์ให้ได้ว่ามันเป็นจริงตามที่เราเชื่อนั้น วิลเลียม เจมส์ บิดาแห่งจิตวิทยาอเมริกัน เคยเล่าว่าเขาเคยพบกับหญิงชราคนหนึ่ง เธอเล่าให้เขาฟังว่าโลกใบนี้ตั้งอยู่บนหลังของเต่าตัวมหึมา “แต่คุณยายครับ” ศาสตราจารย์เจมส์ถามอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ “อะไรหนุนเต่านะครับ?” “อ้อ ง่ายนิดเดียว มันยืนอยู่บนหลังเต่าอีกตัวหนึ่งไง” เธอกล่าว “อ๋อ เข้าใจแล้วครับ” ศาสตราจารย์เจมส์กล่าวอย่างสุภาพเช่นเคย “แต่คุณยายจะกรุณาบอกผมได้ไหมว่าอะไรหนุนเต่าตัวที่สอง?” “ไร้ประโยชน์ที่จะเถียงค่ะ ศาสตราจารย์” หญิงชราตอบ ตระหนักว่าเขาพยายามนำเธอเข้าสู่กับดักตรรกะ “มันก็อยู่หลังเต่าตัวอื่นต่อไปไปเรื่อยๆ นั่นแหละ!” แต่อย่าหัวเราะแก่หญิงชราคนนี้เร็วเกินไป จิตใจของมนุษย์ทุกคนทำงานบนหลักการพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน โลกของเธอน่าแปลกกว่าคนอื่นเล็กน้อย แต่ถูกสร้างขึ้นบนหลักการทางจิตใจเดียวกันกับจักรวาลอื่นๆ ที่ผู้คนเชื่อถือกัน ดังที่ ดร. ลีโอนาร์ด ออร์ร (Leonard Orr) เคยกล่าวไว้ว่า จิตใจมนุษย์ทำงานราวกับแบ่งเป็นสองส่วน: “ผู้คิด” (Thinker) และ “ผู้พิสูจน์” (Prover) ผู้คิดสามารถคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งได้เกือบทั้งหมด ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ามันสามารถคิดได้ว่าโลกถูกแบกไว้บนหลังเต่าแบบไม่มีที่สิ้นสุด หรือโลกเป็นโพรง หรือโลกกำลังลอยอยู่ในอวกาศ ศาสนาเปรียบเทียบและปรัชญาแสดงให้เห็นว่าผู้คิดสามารถมองตัวเองเป็นสิ่งที่เกิดตาย เป็นอมตะ เป็นทั้งเกิดตายและอมตะ…

เวิ่นเว้อ….ว่าด้วยเรื่องความรักในอุดมคติกับรักในชีวิตจริง

เวิ่นเว้อ….ว่าด้วยเรื่องความรักในอุดมคติกับรักในชีวิตจริง

ความรักเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่อดีตกาล ทุกชาติทุกภาษา แต่แทบไม่มีใครสามารถหาเหตุผลได้เลยว่าทำไมถึงมีความรักอยู่คู่มนุษย์ตลอดมา มันเป็นเป็นเรื่องดีอยู่เหมือนกันที่บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องไปเข้าใจในสิ่งที่เรารู้สึกทุกเรื่อง แต่อีกแง่หนึ่งความเข้าใจในความรักแม้จะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งน้อยนิดก็ตามทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งที่เรารู้สึก ทำให้เรามีสติการมีตัวตนอยู่ในเวลาปัจจุบัน ความเข้าใจที่ว่านี้สามารถทำให้เราปฏิบัติตัวหรือตอบสนองอะไรๆได้ดีกว่า และที่สำคัญที่สุดคือการระลึกรู้ว่าเรามีอะไรและได้รู้สึกยังไง และสามารถขอบคุณสิ่งที่เรามีในปัจจุบันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

กระโดดสูงสไตล์ Fosbury flop กับบทเรียนที่บอกว่าอาจจะวิธีอื่นทีดีกว่าวิธีที่เราทำมาตลอด

กระโดดสูงสไตล์ Fosbury flop กับบทเรียนที่บอกว่าอาจจะวิธีอื่นทีดีกว่าวิธีที่เราทำมาตลอด

เป็นเรื่องปรกติมีหลายๆอย่างที่เราทำกันอยู่ทุกวัน ปฏิบัติต่อกันกันจนเราไม่สงสัยเลยว่าทำไมต้องทำแบบนั้น และอาจจะเป็นไปได้ที่หลายๆอย่างที่ว่านั้นมีวิธีดำเนินการที่ดีกว่า..

หากใจมุ่งมั่น ปฏิเสธความพ่ายแพ้ ย่อมทำได้เสมอ

หากใจมุ่งมั่น ปฏิเสธความพ่ายแพ้ ย่อมทำได้เสมอ

คำถาม: หากต้องการไปแข่งกีฬาโอลิมปิค ต้องใช้เวลาฝึกฝนกี่ปีและเริ่มตั้งแต่อายุเท่าไหร่?ตอบ: ตามสถิตที่ผ่านมาแล้วผู้ที่จะสามารถเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิคต้องใช้เวลาเตรียมตัวไม่ต่ำกว่า 8 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นที่มีแผนที่จะไปกีฬาโอลิมปิค ทั่วไปก็เริ่มต้นฝึกฝนจากอายุไม่เกินกว่า 14 ปี และมีโค๊ช ผู้จัดการ และผู้ดูและทั้งหมดทั้งมวลไม่ต่ำว่า 8 คน หากปัจจัยทั้งหมดนี้ได้มาครบก็ไม่ได้มีอะไรรับประกันว่าจะได้ไปสู่เส้นทางรอบสุดท้ายของกีฬาโอลิมปิคได้ แต่อย่างน้อยๆ ต้องมีข้างต้น

ทำไมการตั้งเป้าหมายถึงสำคัญมากสำหรับชีวิต

ทำไมการตั้งเป้าหมายถึงสำคัญมากสำหรับชีวิต

วันนี้จะพูดถึงเรื่องที่สำคัญในชีวิตเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องเป้าหมาย เราคงได้ยินได้ฟังกันมานาน บางทีอาจจะบ่อยจนน่าเบื่อ เป็นเรื่องเป้าหมายอีกแล้ว ใครๆก็รู้ว่าต้องมีเป้าหมาย แล้วมันจะช่วยอะไรได้ ทุกคนต่างรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่จากการวิจัยแบบจริงๆจังพบว่า หากถามเอาคำตอบจริงๆจากคนที่คิดว่ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจริงๆแล้วคนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจเลยว่าในชีวิตต้องการอะไรกันแน่ ไม่สามารถระบุออกมาได้แน่ชัดว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้คืออะไร ในขณะเดียวกันหากศึกษาจากชีวิตคนอื่นที่เขานำประวัติตัวเองมาเขียนมาเล่า หรือเรื่องราวของคนที่มีคนพูดถึงเยอะๆ คนที่ประสบความสำเร็จ จะพบว่าแทบทุกคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเป้าหมายในชีวิต รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร บางทีมันง่ายและอยู่ใกล้เราซะเรามองข้ามมันไป ไม่เชื่อว่ามันจะมีความสำคัญมากขนาดนั้น ครั้งหนึ่งราวๆ 50 ปีที่แล้ว เอิร์ล ไนติงเกล บิดาแห่งการพัฒนาสร้างแรงจูงใจ ได้ก่อตั้งบริษัทประกันภัย อธิบายในเทปที่เขาแจกให้พนักงานในบริษัทของตัวเองเพื่อกระตุ้นว่าการมีเป้าหมายและคิดถึงเป้าหมายนั้นมันเป็นความลับที่แปลกประหลาดที่สุด เทปชุดนั้นจุดประกายคนนับแสนให้ตระหนักถึงความสำคัญของเป้าหมาย ในที่สุดก็ได้พัฒนาเป็นเทปชุดแรกในประวัติมนุษย์ที่ไม่ใช่เทปเพลงที่ขายได้เกิน 1 ล้านแผ่น นั่นคือเขาพูดเรื่องหากมีเป้าหมายแล้วคนส่วนมากมักจะประสบความสำเร็จ ทำไมการตั้งเป้าหมายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จ หากมันสำคัญขนาดนั้นแล้วทำไมผู้คนทั่วไปถึงไม่ทำกัน แล้วการตั้งเป้าหมายมันช่วยให้เราบรรลุในสิ่งที่เราต้องการได้ยังไง มันเป็นคอนเซ็บต์ง่ายๆ แต่ช่วยเราได้จริงเหรอ ข้อมูลที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นการรวบรวมมาจากหลายๆแหล่ง ซึ่งเป็นแนวความคิดของบุคคลอื่นล้วนๆ จากประสบการณ์จริงของบุคคลในอดีต และปัจจุบัน ที่ถ่ายทอดเนื่อหาและแนวคิดออกผ่านมาทางหนังสือ เทป สัมนาและเว็บไซต์  แนวคิดและเนื้อที่จะเสนอนี้จึงเป็นของบุคคลอื่น ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งแนวคิดนี้จะเป็นจริงหรือไม่นั้นคงต้องไปหาทางพิสุจน์กันเองต่อไป การค้นพบอันยิ่งใหญ่ – การตั้งเป้าหมายคือกุญแจสู่ความสำเร็จคนที่ประสบความสำเร็จทำสำเร็จมาแล้วบอกว่าเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญต่อความสำเร็จที่สุด มันเป็นจุดเริ่มต้นของความอดทน ความขยัน ความตั้งใจ และที่สำคัญที่สุดคือเป้าหมายได้สร้างพลังอันลี้ลับทำให้คนได้สิ่งที่เขาต้องการ ฯลฯ…

21 ข้อเท็จจริงที่ชวนหัวเราะ แต่ก็เป็นเรื่องจริงนะ

21 ข้อเท็จจริงที่ชวนหัวเราะ แต่ก็เป็นเรื่องจริงนะ

ข้อเท็จจริงบางอย่างอบางครั้งก็ช่างน่ำขำจนไม่คิดมันจะเป็นจริงได้ ลองมาดูข้อเท็จจริงแบบที่น่าขำ 21 เรื่อง ดูครับ ไฟแช๊คถูกประดิษฐ์ขึ้นมาก่อนไม่ขีดไฟ คำอธิบาย: หลายๆคนอาจจะคิดว่าไม่ขีดไฟน่าจะถูกประดิษฐ์ขึ้นมาก่อนนะเพาะดูเหมือนไม้ขีดไฟเป็นอุปกรณ์โบราณกว่า แต่ความเป๋็นแบบนี้ไฟแช๊คอันแรกบนโลกถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 ที่แปลงมาจากปืน ส่วนไม้ขีดไฟประดิษฐ์โดย  John Walker  ชาวอังกฤษในปี ค.ศ. 1826

11 เพลงไทยที่บรรเทาอาการอกหักที่ดีที่สุด สำหรับคนอายุ 30 ปีขึ้นไป

11 เพลงไทยที่บรรเทาอาการอกหักที่ดีที่สุด สำหรับคนอายุ 30 ปีขึ้นไป

หากย้อนกลับไปสมัยวัยรุ่นเป็นต้นมา หลายคนคงเคยผ่านการอกหักกันมาบ้างแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำในช่วงที่อกหัก คือฟังเพลง ผู้ที่มีประสบการณ์มาแล้วมักจะแนะนำว่าอย่าฟังเพลงเหงาๆเศร้าๆ มันจะทำให้คิดถึงความหลังมากขึ้นและทุกข์กับมันมากขึ้น ยิ่งเป็นเพลงที่ซ้ำเต็มความชอกช้ำก็อย่าไปฟังมัน แต่เพลงก็ใช่ว่าจะซ้ำเติมความทุกข์เศร้าให้เราอย่างเดียว มีหลายๆเพลงที่ช่วยให้บรรเทาอกการอกหักได้ ที่ว่ากันว่าเพลงที่จะบรรเทาอาการอกหักได้นั้น ว่ากันว่ามันควรจะมีคุณลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างดังนี้ ฟังแล้วเหมือนมีคนมาปลอบ รู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นคนเดียวในโลกที่มีความทุกข์อยู่ขณะนี้

พลังของการต่อสู้เพื่อมีชีวิต

พลังของการต่อสู้เพื่อมีชีวิต

เชื่อว่าทุกคนคงได้เจอปัญหาหรือเรื่องราวบั่นทอนกำลังกายกำลังใจอยู่ทุกๆวันเป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ปัญหางาน ปัญหาคนรอบข้าง ปัญหาชีวิตทั่วไป ปัญหาภายในใจ สิ่งที่ไม่ลงตัวต่างๆ ลองมาดูปัญหาของคนคนหนึ่งซึ่งใหญ่หลวงและเขารอดจากมันมาได้อย่างไร ย้อนกลับไปสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารนาซีได้สร้างค่ายกักกันไว้หลายๆแห่งในยุโรป ประเทศโปแลนด์ก็เป็นที่หนึ่งที่นาซีไปสร้างไว้หลังจากเยอรได้เข้ายืดพื้นที่ในประเทศ ทหารนาซีเยอรมันจะนำชาวยิวเป็นล้านๆ คนแยกกันไปตามค่ายกักกันแต่ละที่สร้างขึ้น จุดประสงค์คือนำชาวยิวไปฆ่า โดยการรมควัน ค่ายกักกันที่เป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบันคือค่ายกักกันออสวิชซ์ (Auschwitz concentration camp) อยู่ทางใต้ของโปรแลนด์ ทุกวันที่ค่ายกักกันทหารนาซีจะนำคนเข้าขนคนออก นำขึ้นรถไปแล้วรมควันให้ตายแล้วก็ชาวยิวด้วยกันนี่แหละขุดหลุมใหญ่ๆแล้วโยนศพไปกองๆกันยังไม่กลบจนกว่าจะเต็มหลุม แต่ทหารนาซีจะไม่ฆ่าพร้อมกันทั้งหมดเพราะต้องรักษาแรงงานไว้ทำงาน เช่นขุดหลุมฝัง คนนับล้านคนโดนทหารนาซีฆ่าในสงครามโลกครั้งที่ 2 และขณะเดียวกันที่ค่ายกักกันคราโค (Kraków-Płaszów concentration camp) เป็นค่ายกักกันอยู่ไม่ห่างจากกักกันออสวิชซ์มากนัก ในค่ายกักกันคราโคมีชายคนหนึ่งจำชื่อ Stanislavsky Lech เป็นชาวยิว โดนควบคุมตัวมากลับคนอีกเป็นพันๆ ส่วนญาติพี่น้องโดนฆ่าตายไปต่อหน้าขณะถูกจับตัว ขณะอยู่ในค่ายรู้ว่าตัวเองและคนอื่นๆคงไม่รอด แต่ละวันผ่านไปไม่รู้ตัวเองจะโดนเรียกไปฆ่าวันไหน เขาถูกบังคับให้ทำงานขุดหลุดใหญ่เพื่อกลับศพคนที่ถูกลมควัน ร่างกายผอมโซ จิตใจย่ำแย่ ความโศรกเศร้าและสิ้นหวังของเขาทำให้เขายอมรับสภาพว่าไม่มีทางรอด ต้องตายอยู่ตรงนี้แน่ๆ แต่ในขณะเดียวกันในซอกหนึ่งเล็กของจิตใจเขายังพอหลงเหลือมันคือความหวังน้อยนิดริบหรี่ ความหวังอันเล็กน้อยนั้นคือ หวังจะหนีจากสถานที่เป็นเหมือนนรก ออกไปสู่อิสรภาพภายนอก อิรภาพที่ไม่รู้จะเอามันมาได้ยังไง ยังไงๆก็มองไม่เห็นทางจะออกไปจากที่นี่ได้ ในขณะที่คนอีกเป็นพันๆหมื่นๆคนที่นั่นสิ้นหวัง นั่งอยู่รอความตายแต่เขาเปลี่ยนความคิดไปอีกแบบ ความหวังอันน้อยนิดของค่อยๆเปลี่ยนคำพูดที่บอกตัวเองมาตลอดว่าฉันตายแน่ๆๆ ไม่มีทางรอด มาเป็นฉันจะออกจากที่นี่ไปได้ยังไง…

เชื่อหรือไม่ว่าตารางธาตุนั้นได้มาจากความฝัน

เชื่อหรือไม่ว่าตารางธาตุนั้นได้มาจากความฝัน

หากใครเรียนสายวิทย์มาคงจำตารางธาตุได้ เรียนกันไปหัวปั่นบางคนก็นั่งหลับแล้วเอากระเป๋ามาอาจารย์ไว้ แล้วให้เพื่อนรักคอยพัดวีให้จนหมดคาบ ไม่รู้เมื่อคืนไปเมาที่ไหนมา พูดเรื่องตารางธาตุ ตารางธาตุที่เราใช้กันในปัจจุบันคิดค้นโดย Dmitri Mendeleev นักวิทยาศาสตร์ เคมีชาวรัสเซีย ในปี 2412 (จำได้ไหมสมัยนั้นเราเรียกชื่อ เมเดเลเอฟ) แล้วพัฒนาเรื่อยมา แต่เปลี่ยนแปลงจากยุคแรกเริ่มไม่มากนักโดยมีธาตุใหม่เพิ่มขึ้น ตอนเรียนคงสงสัยกันอยู่เหมือนกันว่าคนเรามันฉลาดอะไรขนาดนั้น จัดธาตุมันจะเหมาะเจาะเหมาะเหม็ง สมัยนั้น Mendeleev ได้ค้นพบว่าธาตุบางอย่างคุณสมบัติเฉพาะด้าน ดังนั้นจึงต้องหาวิธีแสดงและจำแนกมันให้ชัดเจน แต่ พ.ศ. 2412 แบบจำลองอะตอมยังคงเป็นดั้งเดิม คือเป็นแบบก้อนกลมๆ (จำไม่ได้แบบจำลองของใคร) ยังไม่มีใครค้นพบอิเล็กตรอนหรือโปรตรอนเลย เพราะทอมสันมาค้นพบอิเล็กตรอนและจำแนกโปรตรอน ก็ พ.ศ. 2440 หลังจากตารางธาตุได้กำเนิดขึ้นนั้นตั้งนาน สมัยนั้น Mendeleev ไม่มีทางรู้คุณสมบัติระดับอะตอมของแต่ละธาตุได้เลย แล้วเขาจัดธาตุลงตารางได้อย่างเหมาะเจาะได้ยังไง เชื่อหรือไม่ว่าตารางธาตุที่ว่านี้มันมาจากภาพที่เห็นในตอนที่เขาฝันหละ ใช่แล้วหละความฝันตอนที่เขาหลับนี่แหละ…. เขาครุ่นคิดหาวิธีมานานมากว่าจะจัดธาตุเป็นหมวดหมู่ได้อย่างไรเขารู้ว่ามันจะต้องเรียงกันแบบที่เขาได้ทดลองมาแต่ไม่รู้จะจัดให้มันออกมาในรูปแบบอย่างไร แล้วเขาก็ได้ตารางธาตุอย่างสมบูรณ์แบบที่เขาต้องการ เมื่อวันหนึ่งหลับแล้วฝันเห็นเป็นรูปตาราง พอตื่นขึ้นมาก็รีบดินสอและกระดาษมาร่างตามแบบที่เขาเห็นฝัน แล้วก็ปิ้งขึ้นมาว่าต้องเอาธาตุมาลงในตาราง ก่อนที่เขาจะเสนออย่างเป็นทางการหลังจากได้ศึกษาตารางมาเป็นเวลานาน มีธาตุในตารางเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้นที่เขาแก้ไขต่างจากที่เห็นในฝัน เขากล่าวว่า “ผมหลับฝันและมองเห็นตาราง ซึ่งมีชื่อธาตุระบุอยู่ในแต่ละช่องตรงอย่างที่ต้องการ” แหล่งอ้างอิง: https://www.brainpickings.org/2016/02/08/mendeleev-periodic-table-dream/

วิธีล้างหนี้แบบลูกบอลหิมะ

วิธีล้างหนี้แบบลูกบอลหิมะ

วันนี้จะเป็นเรื่องที่หลายๆคนไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากอ่าน ไม่อยากรับรู้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ทำให้เราหงุดหงิดได้มากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต เป็นเรื่องที่เราคิดถึงทีไรแล้วใจมันห่อเหี่ยว เป็นเรื่องที่เราอยากหนีห่างมันไปไกลๆ แต่มันดันอยู่ใกล้เราจนเราแทบไม่รู้ตัว หากไม่สนใจมันก็จะค่อยๆคืบคลานเข้าใกล้ตัวเราเรื่อยๆ จนมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและคอยฉุดร้างความก้าวหน้าในชีวิตเรา มันคือ “หนี้”  แต่วันนี้จะเน้นวิธีการกำจัดหนี้ที่คนอเมริกานับล้านนำไปใช้แล้วได้ผล เชื่อว่าหลายๆคนกำลังมีหรือเคยเป็นหนี้มาแล้วกันทั้งนั้น ทุกวันนี้หนี้ที่เป็นกันได้ง่ายที่สุดเลยก็คือหนี้บัตรเครดิต ส่วนคนทำงานของตัวเองก็จะเป็นหนี้ที่ไปกู้มาลงทุน เงินกู้ฉุกเฉิน นอกจากนั้นยังมีหนี้อื่นๆ อีกหลายประเภท เช่น หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล รถยนต์ หนี้บ้าน  หนี้บอล หนี้นอกระบบ ฯลฯ เจ้าหนี้หลักๆเลยก็คือธนาคาร สาเหตุหลักที่เรามีหนี้คือเรามีความต้องการต้องใช้เงินเกินจำนวนที่เรามีขณะนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดที่เราทำคือไปเอาเงินในอนาคตมาใช้ก่อน นั่นคือการสร้างหนี้ในรูปแบบต่างๆ หนี้บางครั้งก็ไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายเสมอ โรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้แต่งหนังสือพ่อรวยสอนลูก กล่าวว่ามีหนี้อยู่สองประเภทคือ หนี้ดีและหนี้เลว หนี้ดีคือหนี้ที่มีแล้วมีส่วนสร้างรายได้ให้เรา เช่นเป็นหนี้ผ่อนค่าบ้าน แต่บ้านที่ว่านั้นเราให้คนอื่นเช่าและค่าเช่าที่ได้เราเอาไปผ่อนหนี้แล้วเงินส่วนหนึ่งยังเข้ากระเป๋าของเราอยู่ หรือหนี้กู้เพื่อทำธุรกิจและธุรกิจสร้างรายได้มากว่าหนี้ที่จ่าย หนี้แบบที่สองคือหนี้เลว เป็นหนี้ที่ไม่ได้สร้างรายได้ให้เราเลย นอกจากจ่ายออกเพิ่มขึ้น ส่วนมากเป็นหนี้ที่เกิดจากการกู้มาใช้จ่ายซื้อข้าวของ เที่ยว กิน หรือใช้จ่ายทั่วไปโดยไม่ก่อรายได้ใดๆเลย บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นต้น หนี้แบบที่สองมันว่าน่าจะเป็นได้มากกว่าหนี้เลว น่าจะเรียกมันว่าหนี้หายนะ เพราะมีแล้วมันทำให้ชีวิตเราสะดุด ชีวิตติดขัด แทนที่จะได้ใช้จ่ายอย่างมีอิสระหรือได้เก็บบ้างหนี้ก็เป็นตัวฉุดรั้งเราไว้ตลอด…