ทำไมการตั้งเป้าหมายถึงสำคัญมากสำหรับชีวิต

วันนี้จะพูดถึงเรื่องที่สำคัญในชีวิตเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องเป้าหมาย เราคงได้ยินได้ฟังกันมานาน บางทีอาจจะบ่อยจนน่าเบื่อ เป็นเรื่องเป้าหมายอีกแล้ว ใครๆก็รู้ว่าต้องมีเป้าหมาย แล้วมันจะช่วยอะไรได้ ทุกคนต่างรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่จากการวิจัยแบบจริงๆจังพบว่า หากถามเอาคำตอบจริงๆจากคนที่คิดว่ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจริงๆแล้วคนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจเลยว่าในชีวิตต้องการอะไรกันแน่ ไม่สามารถระบุออกมาได้แน่ชัดว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้คืออะไร ในขณะเดียวกันหากศึกษาจากชีวิตคนอื่นที่เขานำประวัติตัวเองมาเขียนมาเล่า หรือเรื่องราวของคนที่มีคนพูดถึงเยอะๆ คนที่ประสบความสำเร็จ จะพบว่าแทบทุกคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเป้าหมายในชีวิต รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร

บางทีมันง่ายและอยู่ใกล้เราซะเรามองข้ามมันไป ไม่เชื่อว่ามันจะมีความสำคัญมากขนาดนั้น ครั้งหนึ่งราวๆ 50 ปีที่แล้ว เอิร์ล ไนติงเกล บิดาแห่งการพัฒนาสร้างแรงจูงใจ ได้ก่อตั้งบริษัทประกันภัย อธิบายในเทปที่เขาแจกให้พนักงานในบริษัทของตัวเองเพื่อกระตุ้นว่าการมีเป้าหมายและคิดถึงเป้าหมายนั้นมันเป็นความลับที่แปลกประหลาดที่สุด เทปชุดนั้นจุดประกายคนนับแสนให้ตระหนักถึงความสำคัญของเป้าหมาย ในที่สุดก็ได้พัฒนาเป็นเทปชุดแรกในประวัติมนุษย์ที่ไม่ใช่เทปเพลงที่ขายได้เกิน 1 ล้านแผ่น นั่นคือเขาพูดเรื่องหากมีเป้าหมายแล้วคนส่วนมากมักจะประสบความสำเร็จ

เอิร์ล ไนติงเกล

ทำไมการตั้งเป้าหมายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จ หากมันสำคัญขนาดนั้นแล้วทำไมผู้คนทั่วไปถึงไม่ทำกัน แล้วการตั้งเป้าหมายมันช่วยให้เราบรรลุในสิ่งที่เราต้องการได้ยังไง มันเป็นคอนเซ็บต์ง่ายๆ แต่ช่วยเราได้จริงเหรอ

ข้อมูลที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นการรวบรวมมาจากหลายๆแหล่ง ซึ่งเป็นแนวความคิดของบุคคลอื่นล้วนๆ จากประสบการณ์จริงของบุคคลในอดีต และปัจจุบัน ที่ถ่ายทอดเนื่อหาและแนวคิดออกผ่านมาทางหนังสือ เทป สัมนาและเว็บไซต์  แนวคิดและเนื้อที่จะเสนอนี้จึงเป็นของบุคคลอื่น ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งแนวคิดนี้จะเป็นจริงหรือไม่นั้นคงต้องไปหาทางพิสุจน์กันเองต่อไป

การค้นพบอันยิ่งใหญ่ การตั้งเป้าหมายคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
คนที่ประสบความสำเร็จทำสำเร็จมาแล้วบอกว่าเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญต่อความสำเร็จที่สุด มันเป็นจุดเริ่มต้นของความอดทน ความขยัน ความตั้งใจ และที่สำคัญที่สุดคือเป้าหมายได้สร้างพลังอันลี้ลับทำให้คนได้สิ่งที่เขาต้องการ ฯลฯ

ว่ากันว่าความลับนี้มันก็แอบซ่อนอยู่ในทุกๆที่ในชีวิตเรา และมักเป็นที่หาง่ายที่สุดด้วย แต่เรามองไม่เห็นมัน จะเห็นได้จากเรื่องการตั้งหมายนี้น้อยคนนักที่เรารู้จักรู้เรื่องนี้มาก่อนหรือรู้แล้วแต่ไม่ได้เห็นค่าของมัน เพราะมันดูง่ายเกินไป แสดงว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านี้ที่สนใจและจริงจังเรื่องนี้

Empty asphalt road towards cloud and signs symbolizing success a

ความสำคัญของการตั้งเป้าหมายไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ถูกบันทึกคู่กับประวิติศาสาตร์มนุษย์มากว่าพันๆปี เมื่อพูดถึงเป้าหมายก็ต้องพูดถึงในสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราต้องการนั้นเริ่มมาจากความคิด มักมีคำที่ปรากฏตามคำสอน สุภาษิต บันทึกโบราณที่ถ่ายทอดกันมาปรากฏในหลายๆรูปแบบเช่นคัมภีร์ของแต่ละศาสนา อักษรจารึก ฯลฯ ว่าการค้นพบว่าตัวเองต้องการอะไร คือกุญแจสู่ความสำเร็จทั้งปวง

ตัวอย่างจากประสบการณ์จริงของผู้สอนการตั้งเป้าหมาย
มีตัวอย่างมากมายที่ถ่ายทอดออกมาว่าการตั้งเป้าหมายทำให้ชีวิตเขาประสบความสำเร็จ แต่จะขอยกตัวอย่างคนที่ไม่มีการศึกษา เรียนไม่จบ ไม่มีความรู้ เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งที่เป็นที่รู้จักที่สุดในเรื่องการสอนตั้งเป้าหมาย เขาชื่อ Brian Tracy ผู้เขียนหนังสือที่เรารู้จักกันมากเล่มหนึ่งคือ กินกบตัวนั้นซะ เขาเริ่มต้นด้วยชีวิตยากจน พอถึงวัยรุ่นก็ออกจากโรงเรียนมาทำงานใช้แรงงาน เนื่องจากไม่มีเงินค่าเล่าเรียน เริ่มด้วยงานล้างจาน หลังจากนั้นเป็นพนักงานล้างรถ พนักงานทำความสะอาด เปลี่ยนไปเป็นคนงานในโรงงาน คนงานในฟาร์ม คนงานขุดดิน คนงานขุดดิน แรงงานก่อสร้าง

หลังจากทำงานใช้แรงงานอยู่หลายปีไม่มีอะไรขึ้นมา จึงเปลี่ยนมาเป็นพนักงงานขายบ้าง เดินไปเคาะประตูขายไปเรื่อยๆ ไม่มีเงินเงินเดือนอาศัยค่าคอมมิสชั่น บางเดือนก็ได้บางเดือนก็ไม่ได้ หลังจากทำอยู่หลายปี ก็ได้อ่านเรื่องการตั้งเป้าหมายก็เลยมานั่งคิดและหยิบกระดาษมาเขียนเป้าหมายตัวเอง โดยเขียนเล่นๆว่ามีรายได้ 1,000 เหรียญภายใน 30วัน

หลังจากนั้นก็บอกตัวเองว่าถ้างั้นก็ต้องขยัน ก็เลยขยันขึ้นมากๆ ไปพบลูกค้ามาขึ้น ขายได้มากขึ้น ท่าทางก็ไม่น่าจะมีรายได้ถึง 1,000 เหรียญอย่างที่อยากได้ ไม่กี่วันก่อนครบ 30 วัน ได้มีบริษัทที่ใหญ่กว่ามาซื้อบริษัทที่เขาทำอยู่ และเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและเสนอให้เขาควบคุมพนักงานขายและให้เงินเดือน 1,000 เหรียญ เป็นวันที่ 30 ที่เขาตั้งเป้าหมายไว้พอดิบพอดี

เขาก็คิดว่าบังเอิญจัง และบอกกับตัวเองว่างั้นเอางี้ลองตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นเช่นเป้าหมาย 3 ปี 5 ปี ต้องการอะไรแล้วเอาใจใส่เป้าหมายทุกวัน จากที่เป็นคนไม่มีบ้านจะอยู่ ก็เลยเขียนเป้าหมายไว้ว่าจะมีบ้านมีรถเบนซ์ขับ หลังจากทำงานขยัน ทุกๆอย่างก็ดีขึ้นๆ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่ปี เขามารู้ตัวว่าการตั้งเป้าหมายมันสำคัญอย่างนี้นี่เอง ตั้งแต่นั้นมาเขาเลยจริงจังเรื่องการตั้งเป้าหมาย หันมาศึกษษเรื่องวิธีการประสบกความสำเร็จ อ่านหนังสือเป็นพันๆเล่ม เข้าสัมนา พัฒนาตัวเอง จริงสามารถสร้างธุรกิจเกี่ยวกับพัฒนาความสำเร็จของบุคคล จนเป็นบริษัทระดับร้อยล้าน สอนและอบรมเรื่องความสำเร็จไม่ต่ำว่า 4 ล้านคนทั่วโลกให้คนประสบความสำเร็จจริงๆ มากว่า 35 ประเทศ ทุกวันนี้เขาเป็นประธานบริษัทของตัวเองและเดินทางไปอบรมสอนผู้คนเรื่องการตั้งเป้าหมายทั่วโลก

คำว่าประสบความสำเร็จหมายถึงอะไร
พอพูดถึงคำว่าประสบความสำเร็จหลายๆคนบอกว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่สามารถหาเงินได้เยอะ ในที่นี้ตามความหมายจริงๆไม่ได้หมายถึงในลักษณะนั้น คนที่มีเงินทองมากมายแต่มีครอบครัวหรือความสัมพันธ์มิตรภาพที่ล้มเหลว ไม่เป็นรักของใครไม่สามารถเรียกว่าเป็นบุคคลประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง การมีเงินกับความสำเร็จนั้นมันคนละส่วนกัน ความสำเร็จเป็นสภาวะความสมบูรณ์ ความพอใจของตัวบุคคลมากกว่า

คำว่าความสำเร็จของแต่ละคนมีความหมายต่างกันเพราะความชอบ และสิ่งที่ตัวเองต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นก่อนอื่นต้องระบุความหมายของคำว่าความสำเร็จ ได้มีคนให้ความหมายที่ดีที่สุดว่า “การได้มีการพัฒนาการ และบรรลุในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างมีคุณค่า” เช่น หากตั้งเป้าว่าจะเป็นศิลปินและสุดท้ายได้เป็นอย่างที่ตั้งใจนั่นคือความสำเร็จ หรือตั้งใจเปิดร้านขายเล็กๆของในหมู่บ้านแล้วได้เปิดจริงๆ นั่นคือความสำเร็จ หรืออยากจะเป็นพ่อแม่ที่ดีเลี้ยงลูกให้เป็นบุคคลมีคุณภาพในสังคมนั่นถือว่าประสบความสำเร็จ แต่เราส่วนใหญ่คงไม่ปฏิเสธว่าเป้าหมายหนึ่งคือการมีเงินเพียงพอในการใช้จ่ายในแบบที่ต้องการไม่เดือดร้อน หากทำได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเช่นกัน

ว่ากันว่าที่สบความสำเร็จที่มีอยู่ในปัจจุบันมีเพียง 5% ของประชากรทั้งหมด ที่เหลืออีก95% คือคนทั่วไปที่ยังต้องกระเสือกกระสน หาตัวเองไม่เจอ ต้องทำงานในแบบที่ตัวเองไม่ชอบ หากหยุดงาน ครั้นจะหยุดก็หยุดไม่ได้เมื่อไหร่รายได้ก็หยุดลงด้วยเมื่อนั้น ต้องจำใจอยู่ในสภาพที่ตัวเองไม่ต้องการ ไม่มีข้อเลือกอะไรมากนัก จำเป็นต้องทำสิ่งที่ตัวเองไม่รักไม่ชอบ

การศึกษาวิจัยกันมาไม่ต่ำว่า 50 ปี พบว่าคนที่ประสบความสำเร็จร่ำรวย 5% ที่ว่านั้นมีอะไรเหมือนกันอย่างหนึ่งคือทุกคนมีเป้าหมาย และรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ตัวอย่างหนึ่งที่เป็นที่โด่งดังที่สุดคือการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนียเมื่อทศวรรษที่ 60 ได้จัดบันทึกสัมภาษณ์นักศึกษาจำนวนหนึ่ง ในจำนวนนั้นมี 5% ที่บอกเป้าหมายของตัวเองได้ชัดเจน รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เขียนเป็นอักษรได้ อีกประมาณ 20% บอกเป้าหมายตัวเองได้แต่คลุมเครือไม่ชัดเจน ส่วนนักศึกษาที่เหลือไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่

หลังจากนั้น 20 ปีก็ได้มีการติดตามผล พบว่า 5% ของนักศึกษาดังกล่าวได้กลายเป็นผู้บริหาร เจ้าของกิจการ หรือเป็นคนที่มีความเป็นอยู่ที่ดี ส่วน 20% ที่มีความเป็นอยู่ปานกลางแต่ยังคงทำงานอยู่ ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นกลายเป็นคนที่ต้องเพิ่งสวัสดิการของรัฐไปวันๆ ผลการวิจัยครั้งนั้นได้กลายมาเป็นหัวข้อการศึกษาถึงผลของการตั้งเป้าหมายในแนวทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง

ความลับของผู้ประสบความสำเร็จและร่ำรวยที่สุด 500 คน

ราวๆต้นศตวรรษที่ 19 ประมาณ 90 ปีที่แล้ว เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกขณะนั้นคือ แอนดรู คาร์เนกี้ ซึ่งมาจากครอบครัวยากจน เริ่มต้นจากการเป็นเสมียนในโรงงานถลุงเหล็ก ไต่เต้าพัฒนาตัวเองมาเป็นเจ้าของและคุมอุตสาหกรรมเหล็กกล้า 90% ของอเมริกาขณะนั้น เขากลายเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในขณะนั้น หลังจากประสบความสำเร็จอย่างที่สุดแล้ว เขาได้นั่งคิดว่าอะไรกันแน่ทำให้คนประสบความสำเร็จ หากรู้ความลับก็จะได้ถ่ายทอดให้คนทั่วไปได้รับรู้บ้างเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อโลกบ้าง

ช่วงนั้นเป็นช่วงเหตุการณ์ Titanic ล่ม หากใครได้ดู Titanic คงได้เห็นสังคมของคนร่ำรวยสมัยนั้น คือคนรวยคนประสบความสำเร็จจะคบหาแต่คนรวยเท่านั้น และแลกเปลี่ยนความลับและแนวคิดกันอยู่เสมอ และเป็นการยากมากที่คนที่อยู่นอกกลุ่มจะได้รับรู้เรื่องราวว่าพวกเขาพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลอะไรกัน สมัยนั้นมีการเรียกสังคมแบบนี้ว่า สังคมลับ (secret society) แอนดรู คาร์เนกี้ เป็นคนที่ค่อนข้างจะต่อต้านสังคมและความคิดแบบนี้เนื่องจากเขาผ่านและสัมผัสความลำบากมาก่อน เขาอยากจะล้วงเอาความลับนี้ออกมาให้ได้ แต่เขาไม่ชอบการเรียบเรียง การค้นคว้าอะไรที่มันยาวนาน

วันหนึ่งมีนักเขียนนักจัดรายการวิทยุหนุ่มคนหนึ่ง ที่ชื่อ นโปเลียน ฮิลล์ ได้มาสัมภาษณ์ เขาจึงรู้ว่าคนนี้แหละที่เหมาะสมจะมารวบรวมความลับของคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ได้ เขาได้เสนอให้จะให้ทุน นโปเลียน ฮิลล์เป็นเวลา 20 ปี ให้ไปศึกษาสัมภาษณ์ สัมผัส รู้จัก และติดตามเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด 500 คนในอเมริกาที่เขารู้จัก แอนดรู คาร์เนกี้จะเป็นผู้แนะนำ นโปเลียน ฮิลล์ ให้รู้จักทั้ง 500 ที่ว่าเอง ให้ใช้เส้นสาย สายสัมพันธ์ส่วนตัวเข้าหาได้เต็มที่ แล้วไปศึกษาความลับหรือหลักการหรืออะไรก็แล้วแต่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ รวมทั้งข้อมูลส่วนตัวของแอนดรู คาร์เนกี้เองด้วย คนแรกๆที่เขาแนะนำให้รู้จักคือแฮนรี่ ฟอร์ดผู้ก่อตั้งรถยนต์ฟอร์ดนั่นเอง

ราวๆทศวรรษที่ 20 หลังจากใช้เวลาไป 20 ปี พูดคุยสัมภาษณ์ผู้คนดังกล่าวโดยที่ผู้คนเหล่านั้นไม่ได้คิดมาก่อนว่า นโปเลียน ฮิลล์จะนำไปตีพิมพ์ ในที่สุดเขาก็เขียนบทวิจัยของเขาออกมาสำเร็จ เป็นที่แปลกใจต่อตัวเขาหรือคนที่ได้อ่านคือสิ่งที่เขาค้นพบจาก 500 คนนั้น กลับไม่พบคำว่าการศึกษา ความฉลาด ความขยัน อดทน ทำงานหนักแบบที่เราได้ถูกสั่งสอนมาตลอดเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ที่เขาพบคือ สิ่งที่อยู่ในใจ สิ่งที่คนคิด นั่นคือการมีเป้าหมายและปราถนาอันแรงกล้าที่จะทำให้เป้าหมายนั้นสำเร็จ ทุกคนที่ประสบความสำเร็จมีสิ่งนี้ที่เหมือนกัน

เขาได้เขียนเป็นหนังสือ 1 ชุด ออกมาชื่อ “กฏแห่งความสำเร็จ 16 บทเรียน” จำนวน 1,100 หน้า เนื้อหาทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้ในการปฏิบิติงาน ทำงานหนัก ความตั้งใจทำงาน หรือความรู้เรื่องวิชาการ แต่เป็นหลักการความคิดที่สุดโต่งแบบสุดๆในยุคนั้น คือความเชื่อให้เกิดภายในใจ และการสื่อสารระหว่างจิตใจ จิตใต้สำนึก และมีการอธิบายถึงพลังงานลึกลับของจักรวาลที่เราสื่อได้จากจินตนาการ การจะบรรลความสามารถนั้นได้คือ การมีเป้าหมายที่ชัดเจน นั่นเอง

หลังจากวางแผงได้ไม่นานเป็นที่รู้จักของนักอ่านผู้ต้องการศึกษาทั่วไป ได้สร้างความตะลึงให้กับคนทั่วไป วางแผงได้ไม่นานก็ถูกเก็บออกจากแผง ว่ากันว่าบรรดาผู้ประสบความสำเร็จเศรษฐีผู้กุมอำนาจทางธุรกิจสมัยนั้น รู้สึกตระหนกและไม่พอใจเป็นอย่างมา พวกเขาไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ความลับจึงพากันทำทุกวิถีทางเอาหนังสือบทเรียนนี้ออกจากแผงให้ได้ และก็ทำสำเร็จภายในเวลาอันสั้น หนังสือชุดนี้ถูกดึงออกจากแผงโดยทันทีและไม่มีการพิมพ์เพิ่ม และหายไปจากตลาดกว่า 10 ปี หลังจากนั้นเขาได้พิมพ์หนังสือที่จัดได้ที่ขึ้นชื่อที่สุดของเขาคือ Think and Grow Rich โดยนำเอาสาระสำคัญของ กฏแห่งความสำเร็จ 16 บทเรียน มารวบรวม ซึ่งสรุปได้ว่า หัวใจสำคัญของความสำเร็จคือ การมีแรงปราถนาที่จะไปสู้เป้าหมาย นั่นเอง

ทำไมการตั้งเป้าหมายถึงสำคัญ

หากกลับไปดูความหมายของคำว่าประสบความสำเร็จพบว่าความสำเร็จอยู่คู่กับเป้าหมายนั่นเอง หากไม่มีเป้าหมายก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะระบุว่าความสำเร็จของตัวเองคืออะไร การตั้งเป้าหมายบอกให้เรารู้ว่าเราต้องการอะไรและต้องการแบบจริงๆ ไม่เลื่อนลอย พอรู้ว่าต้องการอะไรก็จะทำอะไรซักอย่างหรือหลายๆอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้นให้ได้ โอกาสที่จะไปทำอะไรไร้สาระหรือเสียเวลาจึงมีน้อยลง พอแรงจะหมดๆมองดูไปที่จุดหมายทำให้เรามีกำลังฮืดขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

ในขณะที่คนที่ไม่มีเป้าหมายก็จะใช้ชีวิตไปแบบไม่มีทิศทางที่แน่นอน ทำงานไปแต่ละวันแต่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จึงไม่มุ่งหน้าไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่งและโอกาสที่จะใช้เวลาไปในทางอื่นจึงมีมากกว่า บางคนอาจจะมีจุดหมายจริงแต่เป็นจุดหมายอยู่ในใจแบบล่องลอย ไม่ชัดเจน เช่นบอกว่าต้องการเปิดร้านกาแฟ แต่ก็ไม่ได้วางแผนหรือบันทึกลงไปให้ตัวเองรู้ว่านี่ความต้องการจริงๆของตัวเอง ผ่านไปสามสี่เดือนก็ลืม ความจดจ่อก็ลดลง พอมีคนถามก็ตอบได้ว่าฉันต้องการเปิดร้านกาแฟ แต่ก็ไม่ได้วางแผนหรือทำอะไรเกี่ยวกับเป้าหมายนั้นซักที แบบนี้เขาเรียกว่าเป้าหมายเลื่อนลอย หรือเรียกว่าฝันกลางวัน  เป้าหมายที่แท้จริงจะต้อง ชัดเจน เขียนบันทึกไว้ สามารถวัดได้ มีระยะเวลากำหนด และเชื่อว่าจะได้ตามนั้นจริงๆ

คนรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและตั้งเป้าหมายของตัวเองจริงๆจังๆนั้นมีน้อยมาก
การตั้งเป้าหมายนั้นมีความสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราได้สิ่งที่เราต้องการ การตั้งเป้าหมายถือว่าเป็นหลักการง่ายๆที่ใครๆ ก็ต้องว่าจะทำอะไรซักอย่างต้องมีเป้าหมาย แต่เชื่อหรือไม่ว่าคนเราประมาณกว่า 90% ไม่เคยตั้งเป้าหมายให้ตัวเองเลย เราใช้ชีวิตแต่ละวันไปเรื่อยๆโดยหวังว่าจะสามารถมีโน่นมีนี่ได้แต่ไม่เคยนั่งลงเลยจดบันทึกว่าสิ่งที่เราต้องการจริงๆคืออะไร ทดสอบง่ายๆ สมมุติให้เหตุการณ์เสมือนกับว่ามีคนถามว่าต้องการอะไรในชีวิตให้อธิบายออกมาให้เป็นข้อๆ มีรายละเอียดชัดเจน จะพบว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากๆ

ว่ากันว่ามีเพียง 5% เท่านั้นที่ตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองในชีวิต จะเห็นได้ว่าดังนั้นจึงมีเพียง 5% ของประชากรโลกที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง หัวใจของความสำเร็จคือเขาตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าต้องการอะไร การตั้งเป้าหมายที่ว่านี้คือการตั้งเป้าหมายที่สามารถแบบเขียนลงในกระดาษได้ และนำมาทบทวนทุกวัน

ทำไม่ผู้คนถึงไม่ตั้งเป้าหมาย
เมื่อการตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตทำไมคนส่วนมากจึงไม่ตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง นี่เป็นเหตุผลที่ได้มีการวิจัยกันหลายๆปีที่ผ่านมา

  1. ไม่เคยได้รับรู้หรือรู้จักมาก่อนว่าการตั้งเป้าหมายคืออะไร – เหมือนที่เราเคยใช้ชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เด็ก เราไม่เคยได้ยินหรือรู้จักการตั้งเป้าหมายมาก่อน ไม่มีการสอนในโรงเรียน ไม่มีผู้ใหญ่สอนหรือแนะนำมาก่อน
    2. ไม่รู้ว่าการตั้งเป้าหมายนั้นสำคัญและช่วยได้จริงๆ – อย่างที่เราเคยครู้สึกครั้งแรกรู้เรื่องเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมาย ก็บอกว่าฉันรู้แล้วว่าต้องการนั้นต้องการอยู่แล้ว จะเขียนเป้าไปทำไม รู้อยู่ในใจแล้วจะทำให้มันเป็นเรื่องมากทำไม หลังจากนั้นผ่านไปก็ลืมและใช้ชีวิตประจำต่อไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะไม่คิดว่าการตั้งหมายนั้นช่วยได้จริงๆ
    3. ไม่รู้วิธีการตั้ง – บางคนอาจจะบอกว่ารู้แล้วต้องเป้าหมาย ฉันก็ต้องเป้าไว้แล้วว่าอยากมีนู้นมีนี่ อยากเป็นแบบโน้นแบบนี้ อันนี้ไม่ใช่การตั้งเป้าหมายแต่แบบนี้เขาเรียกว่าฝันกลางวัน คือบอกตัวเองว่าต้องการอะไรแต่ไม่ได้เริ่มต้นทำอะไรกับมันเลย หรือแม้แต่ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้
    4. กลัวการล้มเหลว – บางคนไม่กล้าตั้งเป้าหมายเพราะกลัวว่าตั้งไปแล้วทำไม่ได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้จะรู้สึกเผชิญหน้ากับความล้มเหลว รู้สึกละอายตัวเองว่าทำไม่ได้
    5. กลัวการถูกวิพากวิจารณ์ – บางคนกลัวว่ามีคนรู้แล้วว่าเราตั้งเป้าหมายแล้วคนอื่นรู้แล้วพอถึงเวลาแล้วทำไม่ได้แล้วจะโดนถูกวิจารย์ อับอายขายหน้า วิธีที่ดีที่สุดคือเป้าหมายต้องเป็นความลับของเราเอง อย่าไปบอกใครพอสำเร็จแล้วเขาจะรู้เอง ถ้าจะบอกให้บอกคนที่เรารู้แล้วว่าบอกแล้วเขาจะไม่วิจารณ์ ไม่ดูถูก ไม่ว่าเราไร้สาระ ไม่ทำให้รู้สึกอาย แต่กลับจะให้กำลังใจให้เราไปถึงเป้าหมาย

การตั้งเป้าหมายนั้นช่วยให้เราบรรลุความสำเร็จได้แค่ไหน
หากเป็นการการตั้งเป้าหมายอย่างแท้จริง การตั้งเป้าหมายอย่างแท้จริงคือ การที่ตัวเรารู้ตัวเองว่าต้องการจริงๆ ในชีวิตและเป็นเป้าหมายที่เราบอกตัวเองว่าถ้าได้มันมาแล้วชีวิตก็จะเปลี่ยนไป เราจะต้องสนใจ ทำอะไรกับเป้าหมายนั้นทุกๆวันเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้นให้ได้ และสามารถเขียนออกมาเป็นตัวอักษรได้

มีคนถามว่าเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนมีเปอร์เซนต์ของความสำเร็จเท่าไหร่ ผู้รู้และผู้ทำสำเร็จมาแล้ว เช่นเอิร์ล ไนติงเกล, นโปเลีย ฮิลล์, แฮนรี่ ฟอร์ด ฯลฯ บอกว่า 99.99% ที่เหลือ 0.01% คือเหตุสุดวิสัยมี่เกิดขึ้น ซึ่งยากมากๆที่จะเกิด เช่นสงคราม แผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติ ฯลฯ ที่มันบังเอิญมากระทบเป้าหมายของเราทำให้เราตายไปเสียก่อนที่เป้าหมายเราจำสำเร็จ

เป้าหมายที่ดีต้องมีหน้าตาเช่นไร
เป้าหมายที่พี่พูดถึงอยู่นี้ เป้าหมายที่จะทำชีวิตเราเปลี่ยนไปจะต้องมีคุณลักษณะ 4 ข้อ ดังนี้

1.ต้องเขียนลงในกระดาษ หรือคอมพ์ หรืออะไรก็ได้ที่เราเห็นและอ่านมันได้บ่อยๆ
ที่ต้องเขียนไว้เพราะเป็นการระบุให้ตัวเองเห็นหลักฐานสิ่งที่เราต้องการ หากอยู่ในความคิดอย่างเดียวความชัดเจนจะไม่เท่ากับบันทึกไว้ เมื่อกลับมาดูอีกครั้งข้อความยังชัดเจน แต่หากอยู่ในความคิดเรากลับมาคิดถึงมันอีกครั้งรายละเอียดมันก็จะเปลี่ยนไป ประโยชน์อีกอย่างของการบันทึกเป้าหมายคือทำให้เรามองเห็นและกลับมาคิดถึงมันบ่อยๆ หากไม่มีอะไรบันทึกไว้ เราจะใช้เวลาคิดเรื่องอื่นส่วนใหญ่ นานๆทีจะมีอะไรมาสะกิดให้คิดถึงเป้าหมายครั้งหนึ่ง

2.ชัดเจน
ต้องชัดเจนว่าสิ่งที่เราต้องการคืออะไรกันแน่ ไม่คลุมเครือเช่นเป้าหมายว่าต้องการมีชีวิตที่มีความสุขเป็นอะไรที่ครอบคุมกว้างเกินไป ต้องระบุให้ชัดเจนว่ามีความสุขอย่างไร เช่นมีเป้าหมายที่เที่ยวเที่ยวที่ไหน ลดน้ำหนักลดกี่กิโลกรัม เป้าหมายเรื่องงานงานอะไร หากมีเป้าหมายเรื่องเงินก็ต้องชัดเจนว่าจำนวนเท่าไหร่ ฯลฯ

3.ต้องสามารถวัดได้
สามารถวัดเป็นหน่วย ปริมาณ ขนาด ตำแหน่ง ทำเล หรืออะไรก็ได้ที่ระบุได้ว่ามันอยู่ที่ไหน อะไร เช่น ต้องการมีรายได้สามารถบอกได้ว่าเท่าไหร่ต่อเดือนหรือต่อปี เช่นมีรายได้ XXXXX บาทต่อเดือน หากเป็นสิ่งของสามารถบอกได้ว่ามันคือะไรลักษณะเช่นไร จำนวนเท่าไหร่ หากเป็นสภาพทางจิตใจสามารถวัดให้เห็นภาพอ้างอิงได้ เช่นมีความสุขไม่ต้องตื่นเช้าไปทำงานทุกวัน ฯลฯ

4.ต้องมีกำหนดเวลาชัดเจน
หากเป็นเป้าหมายที่ไม่ประบุเวลากำกับไว้ก็จะเป็นเป้าหมายที่เราจะรู้สึกรับผิดชอบกับมันน้อยและทำให้เราผลัดวัดประกัดพรุ่ง การเป็นฝันกลางวันได้ง่ายๆ ดังนั้นลักษณะสำคัญอันสุดท้ายคือต้องตั้งระยะเวลาให้ชัดเจนและเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมไม่บีบตัวเองมากเกินไปและไม่นานเกิน เช่นมีสามารถมี XXXXX ได้ภายในวันที่ X เดือน XXX ปี XXXX จะเป็นอย่างไรหากเมื่อถึงเวลานั้นแล้วเป้าหมายยังไม่บรรลุ ง่ายมากเราตั้งระยะเวลาใหม่ที่เหมาะสม แล้วพยายามทำเป้าหมายต่อไป

การตั้งเป้าหมาย พระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และความโชคดี
นักอภิปรัชญา (Metaphysics) ทั้งทางฝั่งตะวันและตะวันออกได้พยายามอธิบายการทำงานของจิตและวัตถุมานับพันปีว่ามีมีความสัมพันธ์กันเช่นไร นับตั้งแต่พลาโต, เดคาร์ส (René Descartes), ขงจื้อ, ฯลฯ จนมาถึงในยุคปัจจุบันมากมาย สิ่งที่ทุกคนกล่าวสรุปไปในทางเดียวกันคือสิ่งที่เราเป็นถูกสร้างมาจากจิตใจสิ่งที่เราคิด แม้แต่พระเยซูและพระพุทธเจ้า ก็พูดในสิ่งเดียวกันคือหากเราคิดสิ่งใดเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เราจะเป็นอย่างที่เราคิดเสมอ หากเรามีเป้าหมายและรู้ว่าเราต้องการอะไร ทำไมเราจึงมักได้ตามนั้น ได้มีการแบ่งเหตุผลของมันออกเป็น 3 ระดับ

ระดับแบบคือระดับกายภาพจิตใจการรับรู้ของเราเอง มันก็คือ หากเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เราเห็นภาพวามสำเร็จแล้วเรารู้สึกดีมีและมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างไร ความเป็นจริงอย่างหนึ่งคือเมื่อเราอยากได้อะไรและเราเห็นภาพมันชัดเจนอยู่เบื้องหน้า มนุษย์ทุกเราทุกคนจะมีแรงทางกายภาพอย่างแปลกประหลาด ทำให้เรามีกำลังใจทำอะไรหลายๆได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย จากที่เจ็บป่วยก็หายหรืออาการดีขึ้นชั่วข้ามคืน มีกำลังใจดี มีพลังเยอะขึ้น ฮึดมากกว่าเดิม ไม่ท้อง่ายๆ หรือที่เราเรียกง่ายๆว่ากำลังใจ หากตื่นเช้ามาก็อยากต่อสู้อยากทำอะไรหลายๆอย่างในวันใหม่นั่น ภาพของเป้าหมายทำให้เราเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น เห็นอะไรที่เป็นโอกาสได้ง่ายขึ้น  อะไรที่ไม่ไม่ได้ช่วยให้เราไปถึงจุดหมายเราจะเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากทำ ทำให้เวลาที่สูญเปล่าไปกับเรื่องอื่นๆลดลง สรุปโดยรวมคือการเว่าเราต้องการอะไรการมีเป้าหมายมันทำให้เราขยันขึ้น มีกำลังใจ มุ่งมั่น และไม่ท้อถอย

ระดับที่สองคือระดับจิตใจนอกเหนือการรับรู้ หรือเรียกว่าระดับจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกก็คือจิตระดับหนึ่งที่ลึกไปกว่าจิตสำนึกที่เรารู้ตัวนะขณะนี้ ที่ทำงานให้เราโดยอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา มันคุมการดำเนินชีวิตของเราอยู่ตลอด จิตใต้สำนึกของเราควบคุมการทำงานของสมอง การดำเนินชีวิต การเอาตัวรอด และการแก้ปัญหาในแบบที่เราไม่ทันได้รับรู้ จิตใต้สำนึกทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวัน 365 วันต่อปี จิตใต้สำนึกไม่เคยหยุดพัก

จุดประสงค์สูงสุดของการจิตใต้สำนึกคือหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้เรามีชีวิตรอด ดังนั้นมันจะทำทุกอย่างให้เรามีชีวิตรอดจากภัยอันตราย ปัญหา หรือเหตุการณ์ขับขันต่างๆ เมื่อใดก็ตามมีเหตุการณ์ขับขันจิตใต้สำนึกจะเข้าควบควมทันที ในบางครั้งเราจะพบว่าในสถานการณ์คอขาดบาดตายเราสามารถแก้ปัญหาและรับมือมันได้ดีและเฉลียวฉลาดมากกว่าที่เราคิด  หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตปัจจุบันของเราจิตใต้สำนึกก็จะทำงานยู่อย่างเงียบๆ เราไม่รู้ว่ามันทำงานยังไงแต่ผลการศึกษาพบว่าเรา ใช้สมองคิดนั่นนี่ ทำงานและแก้ปัญหาในแต่ละวัน เราพลังไม่ถึง 10% ของพลังที่มี และเชื่อว่าที่เหลือไม่ได้ใช้นั้นคือพลังของจิตใต้สำนึก

แล้วเป้าหมายไปมีผลอะไรกับจิตใต้สำนึกอย่างไร การตั้งเป้าหมายเป็นการบอกให้ตัวเรารู้ว่าว่าเราต้องการอะไร เป้าหมายและความต้องการนั้นก็จะเริ่มบันทึกลงในจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกแยะแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นจริงอะไรเป็นเท็จ ในโลกของจิตใต้สำนึกภาพที่จิตใจเห็นผ่านจินตนาการและภาพของโลกเป็นจริงที่มองผ่านทางสายตา เมื่อส่งไปยังจิตใต้สำนึกแล้วมันจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ยิ่งจิตสำนึกได้รับข้อมูลเดิมๆซ้ำๆอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งจะยิ่งเชื่อว่าเป็นความจริง

เมื่อจิตใต้สำนึกเห็นว่าเป็นจริงตามนั้นก็เชื่อว่าสิ่งนั้นและจะพยายามทุกวิธีทางที่จะทำให้มันเป็นจริงให้ได้ เช่นการคิดว่าตัวเองเจ็บป่วยๆอยู่บ่อยๆในที่สุดเราก็จะป่วยอย่างที่เราคิด ตรงกันข้ามคนที่เชื่อว่าร่างกายแข็งแรงมักจะไม่ค่อยป่วย หรือตัวอย่างเราไม่ต้องการเจอะเจอสถานการณ์บางอย่างในที่สุดเราจะพบว่าเรามักจะไปพบสถานการณ์ในลักษณะนั้นอยู่บ่อยๆ มีคำพูดคำหนึ่งคือเกลียดสิ่งไหนเราก็จะได้เจอสิ่งนั้น นั้นเป็นเพราะเราใช้เวลาคิดถึงสิ่งที่เราเกลียด สิ่งที่เราไม่ต้องการมากกว่าสิ่งที่เราต้องการ เราจึงมักจะได้พบกับสิ่งที่เราไม่ต้องการอยู่เสมอๆ

ว่ากันว่าหากทำในแบบเดียวกันนี้ คือคิดถึงและทบทวนเป้าหมายของตัวเองบ่อยๆ จนในที่สุดจิตใต้สำนึกเชื่อตามนั้นว่ามันจะเป็นจริง และจิตใตสำนึกจะทำทุกอย่างให้มันเป็นจริง จิตใต้สำนึกไม่สามารถสร้างอะไรขึ้นมาได้ด้วยตัวของมันเอง แต่มันจะส่งสัญญาณหรือ เราได้อย่างที่เราตั้งเป้าหมายไว้ เช่นการปิ้งไอเดีย สังหรณ์แห่งใจ แรงบันดาลใจ และความสามารถในการสังเกตุโอกาสต่างๆ เป็นต้น

ระดับที่สามคือระดับสื่อสารต่อพลังแห่งจักรวาล มีความเชื่อทั้งด้านศาสนาและวิทยาศาตร์ที่มีแนวโน้มเห็นพ้องต้องกันคือว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้มาจากแหล่งเดียวกัน แหล่งที่ว่าคือพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด บางความเชื่ออาจเรียกว่าพระเจ้า บ้างเรียกว่าพลังงานแหล่งกำเนิด บ้างเรียกว่าอัจริยะแห่งจักรวาล หรือพลังอันชาญฉลาดไร้ที่สิ้นสุด พลังที่ว่าคือแหล่งรวบความรู้ ปัญญา และพลังของจักรวาลทั้งปวง ปาฏิหารย์ต่างๆ ที่เราเข้าว่ามันเกิดขึ้นอาจจะมาจากพลังที่ว่านี้

หากมองในแน่ศาสนาหลายคนอาจจะบอกว่านี่คือพระเจ้า บ้างบอกว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพยาดาฟ้าดิน ฯลฯ แต่โดยรวมๆน่าจะหมายถึงมาจากแหล่งเดียวกัน สิ่งที่จะสื่อถึงพลังนี้ได้คือจิตใจ จิตสำนึกอย่างเดียวจะไม่สามารถสื่อสารกับพลังที่ว่านี้ได้โดยตรงเนื่องจากจิตสำนึกเป็นจิตที่ประมวลด้วยหลักเหตุและผล หากอะไรที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลจิตสำนึกเราจะไม่ยอมเชื่อและหาข้อขัดแย้ง แต่จิตสำนึกจะไม่มีเหตุผลใด แต่จิตสำนึกจะรับและบันทึกลงไปเป็นความจริงก็ต่อเมื่อการส่งข้อมูลซ้ำๆ ย้ำๆ เป็นระยะเวลาหนึ่งจากจิตสำนึกแบบซ้ำๆ

เท่าที่มนุษย์พอเข้าใจคือจิตใต้สำนึกคือข้อมูลที่ใต้จิตสำนึกรับได้นั้นไม่ใช่ตัวหนังสือ จิตใต้สำนึกไม่รู้จักตัวหนังสือ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่จิตใต้สำนึกรับได้คือแบบจำลองของภาพและเสียง ข้อมูลจะถูกส่งจากจิตสำนึกไปยังจิตใต้สำนึกในรูปแบบของภาพที่เกิดขึ้นในใจ หรือที่เราเรียกว่า  “จินตนาการ” จินตนการเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะสื่อสาร

จินตนาการ อารมณ์ บวกกับการทำซ้ำๆ เช่นการบอกกับตัวเองเป็นประจำ การรับฟังสิ่งเดิมๆเป็นประจำ จะส่งข้อมูลไปให้พลังงานของจักรวาลได้เป็นง่ายกว่า จะพบว่าคนที่สวดมนต์ไหว้พระบ่อยๆ หรือคนที่อธิฐานต่อพระเจ้าอยู่เสมอ คนที่ทำสมาธิ ทำจิตใจให้ผ่องใส คนที่มีความเชื่อความศัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งสูง คนที่เชื่อมั่นในสิ่งที่เขาเชื่อและทำ  คนที่ปฏิบัติธรรมไม่ว่าศาสนาใดๆ ดูเหมือนว่ามักจะมีสิ่งคอยช่วยเหลือคุ้มครองตลอด มักจะแคล้วคลาดจากภยันอันตราย พบเจอแต่สิ่งดีๆ หรือทำอะไรก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองได้ง่าย เป็นไปได้ว่าจิตใจของเขาสดใสกว่า สร้างภาพในใจได้ชัดเจนกว่า สามารถสื่อถึงพลังงานดังกล่าวได้ดีกว่า ดังหนังสือเรื่อง The secret ได้อธิบายว่าหากจินตนการสร้างภาพสิ่งที่เราต้องการยิ่งชัดเจนเท่าไหร่มันก็จะดึงดูดสิ่งต่างๆในโลกความเป็นจริงกับเราได้ง่ายเท่านั้น

แหล่งพลังดังกล่าวส่งข้อมูล ความรู้ หรือปัญญาที่เหนือความสามารถของสมองและความคิดของมนุษย์จะคิดและล่วงรู้ได้ มาให้เราผ่านทางจิตใต้สำนึกเช่นกัน ผ่านสื่อที่เรียกว่า “สัมผัสที่ 6” หรือหลายคนเรียกว่าสังหรแห่งใจ หรือส่งที่คอยดลบรรดาลใจให้ตัดสินใจที่ถูกต้อง ความสามารถในการเลี่ยงความเสียหา ความคิดที่เฉลียวฉลาด จะพบว่าคนที่สื่อถึงพลังงานนี้ได้ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะได้ผลดีไปแทบทุกอย่าง ไม่ว่าการตัดสินใจ จังหวะ หรืออะไรต่างที่ต้องการมันจะดึงดูดเข้ามาในชีวิตอยู่เสมอ ฯลฯ อย่างที่เราเรียกกันคุ้นหูว่าความโชคดี หรือบ้างก็ว่าวาสนา นั่นเอง มาถึงตรงนี้จะพบว่าคำว่าโชคดี หรือวาสนานั้นไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เกิดจากเป้าหมายที่ชัดเจนมากกว่า

การตั้งเป้าหมายสามารถเปรียบเทียบกับโลกความเป็นจริงอย่างบ้าง
การตั้งเป้าหมายนั้นถ้าเปรียบให้เห็นชัดเจนในชีวิตจริงก็พอที่จะเทียบได้กับการเดินทาง ปลายทางคือเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายทำให้เราค้นหาเส้นทางที่จะไป การมีแผนที เข็มทิศ เราก็จะไปที่ไหน เราจะหาทางไปทางนั้นให้ได้ เช่นเราตั้งเป้าไว้แล้วจะไปเชียงรายเราก็จะเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปตามทิศเหนือ ตามป้ายที่ชี้ไปจังหวัดที่อยู่ทางเดียวกับเชียงราย แล้วเราก็จะไปถึงในที่สุดภายใน 12 ชั่วโมง หากเดินทางแบบไม่มีเป้าหมายเราก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดีก็จะไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าถึงไหนมันควรจะถึงหรือยัง บางครั้งหลง ในที่สุดทำให้เราเดินทางบนเส้นทางโดยไม่รู้เรากำลังจะไปไหนกันแน่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *