ข้ามทะเลทรายซาฮาร่าอย่างไรให้สำเร็จและรอดตาย

ทะเลทรายซาฮาร่าเป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากเที่ยบแล้วมีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 18 เท่า เมื่อร้อยกว่าปีก่อนพ่อค้าจะต้องเดินทางติดต่อค้าขายระหว่างประเทศ หรือกองทัพต้องเดินทางข้ามพื้นที่เป็นประจำ ระยะทางที่สั้นที่สุดที่มีให้มีระยะทาง 800 ก.ม. (เท่ากับระยะทางจากกรุงเทพฯไปเชียงราย) นั่นหมายความว่า

สมัยนั้นเทคโนโลยีการขนส่งเช่นรถหรือเครื่องบินยังไม่พัฒนาพอที่จะข้ามไปได้อย่างสะดวกเหมือนทุกวันนี้ รถก็พอมีบ้างแต่เป็นรถที่ใช้ในการสงครามเท่านั้นไม่ใช่รถส่วนตัว ครั้นจะบรรทุกคนทั้งกองทัพก็เป็นไปไม่ได้ ยิ่งเป็นพ่อค้านักเดินทางการสมัยนั้นจะมีรถส่วนตัวครอบครองแทบเป็นไปไม่ได้เลย ยานพหานะต่างๆไม่ได้หาง่ายเหมือนสมัยนี้

มีพาหนะที่ใช้กันก็คืออุฐ และเท้าเปล่า บนเส้นทางนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากกองทรายกับความร้อนระอุ หากจะเดินทางอ้อมเพื่อเลี่ยงทะเลทรายแห่งนี้ก็ต้องเดินผ่านไม่ต่ำสิบประเทศ ซึ่งระยะทางจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเท่า และการเดินทางก็ไม่ได้ง่ายกว่ากันเลย ไหนจะต้องเสี่ยงต่อการถูกปล้นและเผชิญภาวะสงครามตลอดเส้นทาง

ทางที่ดีที่สุดตอนนั้นคือเดินเท้าและขี่อูฐข้ามทะเลทรายซาฮาร่านี้ไป ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเส้นทางนี้มีพ่อค้า ทหารล้มตายเป็นจำนวนมาก บ้างก็หลงออกนอกเส้นทางและเสียชีวิตในจุดใดจุดหนึ่งของทะทรายอันกว่าใหญ่นี้ บ้างก็อดน้ำตายไปไม่ถึง เส้นทางนี้ก็เลยกลายเป็นเส้นทางที่มีคนตายมากที่สุดในโลกเส้นทางหนึ่ง หลายคนเรียกเส้นทางนี้ว่าเส้นทางมรณะ เพราะนอกจากร้อนเหมือนนรกแล้วหลายร้อยหลายพันคนก็เอาชีวิตไปทิ้งที่นี่

คำถามคือมีวิธีการอย่างไรที่จะข้ามทะเลทรายซาฮาร่าไปโดยที่ไม่ตายและรอดทุกคน อย่าลืมว่าสมัยนั้นไม่มีเครื่องบิน ประชาชนไม่มีรถใช้ รถที่มีก็เป็นของรัฐของกองทัพที่ใช้ในการสงคราม สมัยนั้นจึงเป็นไม่ไม่ได้ที่จะใช้เครื่องทุ่นแรงใดๆ

มีคนค้นพบคำตอบนี้จริงๆ ด้วย

คำตอบเขาทำอย่างนี้ กองทัพฝรั่งเศสซึ่งตอนนั้นครอบครองอาณานิคมประเทศแอจีเรียอยู่หลายปี และต้องเดินทางผ่านเส้นทางนี้บ่อยๆ ได้ขนถังน้ำมันเปล่าไปวางบนเส้นทางที่เดินทาง ห่างกันทุกๆ 5 ก.ม. ตลอดระยะทาง ซึ่งระยะทาง 5 ก.ม. ที่ว่านี้เป็นระยะทางไกลที่สุดที่จะมองเห็นถังน้ำมันได้ก่อนลับสายตาไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบรรดาพ่อค้า และทหาร ที่เดินทางผ่านเส้นทางนี้ เดินไปตามแนวถังน้ำมันที่เห็น สามารถเดินทางข้ามได้สำเร็จและรอดตายทุกคน

ทำไมมันง่ายขนาดนั้น? เส้นทางก็เส้นทางเดิม ระยะทางเท่าเดิม ความร้อนปริมาณเท่าเดิม คนก็ไม่ได้แข็งแรงขึ้น และวิธีการเดินทางก็เหมือนกันเิดิม แค่มีถังน้ำเห็นให้เห็น เหตุผลคือถังน้ำมันช่วยได้สองอย่าง

1. ถังน้ำมันที่วางไว้เป็นแนวทำให้คนเดินทางไม่หลง และไม่เสียเวลา
2. และสองสำคัญที่สุด ถังน้ำมันที่วางไว้ตลอดเส้นทางได้ช่วยให้คนเดินทางรับรู้ถึงความสำเร็จเมื่อเดินผ่านไปแต่ละถัง มันทำให้เกิดแรงฮึดและบอกตัวเองว่าผ่านมาอีกถังแล้วนะ พอจะหมดแรงๆ มองไปก็จะเห็นอีกถังหนึ่งอยู่ริบๆ ก็จะบอกตัวเองว่าอีกนิดเดียวๆ จะไปถึงอีกถังละ ผ่านไปทีละถังๆ จุดหมายต่อไปก็แต่ถังใบหน้า เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางโดยทุกคน

แต่ถ้าหากไม่มีถังน้ำมันวางไว้ปลายทางที่คนเดินทางรับรู้คือ 800 ก.ม. ข้างหน้า เดินไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าเดินทางมาเป็นระยะทางเท่าไหร่แล้ว ถึงครึ่งทางหรือยัง หรืออีกไกลไหม ก็ทำหมดแรงหมดกำลังใจไปทัน เพราะเป้าหมายต่อไปมันไม่มีอะไรให้วัดหรือบ่งบอกนอกจากปลายทาง ก.ม. ที่ 800 เท่านั้น คนจำนวนหนึ่งจึงหมดกำลังใจและไปไม่รอด


จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่ได้แนะนำวิธีให้เราเดินทางข้ามทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลกหรอก แต่เป็นการสอนให้เรารู้จักการตั้งเป้าหมายในชีวิตมากกว่า หลักการนี้สามารถเอามาใช้ในชีวิตได้ คือ

1. ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้ตั้งเป็น เป้าหมาย
เรามักจะมีการงานภาระกิจทั้งใหญ่ทั้งเล็ก สำหรับภาระกิจใหญ่บางภาระกิจมันก็ช่างใหญ่หลวงเหมือนกับการข้ามทะเลทรายซาฮาร่าเลย เป็นอะไรพอที่คิดแล้วทั้งเหนื่อยและท้อได้ง่าย เพราะสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จมันเยอะมากเกินกว่าจะจัดการได้ แม้ตั้งเป้าหมายไว้แล้ว ความรู้สึกมันก็ยังคงเป็นอะไรที่ต้องใช้กำลังมา ทำไปเท่าไร่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเสร็จซักที

2. แบ่งเป้าหมายใหญ่นั้นออกย่อยๆ
แล้วหาทางบรรลุเป้าหมายย่อยนั้น ทีละ้เป้าหมายไปเรื่อยๆ จนกระทั้งเป้าหมายใหญ่สำเร็จ ถ้าทำแบบนี้เราก็จะมีแรงกาย แรงใจทำได้ง่ายกว่า เพราะเราจะเห็นเป้าหมายต่อไปอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก ทำให้บรรลุทีละอย่างๆในที่สุดชิ้นใหญ่ก็จะทำได้ง่ายกว่า และมีโอกาสสำเร็จมากกว่าทำชิ้นใหญ่หนักๆให้เสร็จในทีเดียว

นี่เป็นเทคนิคง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอะไรเลย แต่ก็ได้ช่วยให้ผู้คนบรรลุในสิ่งที่เขาต้องการมากมายมายแล้ว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *